Knowledge Sharing ชุมชนแห่งการเรียนรู้...
คุณ IQ สูงกว่าคน 98 เปอร์เซ็น เมื่อ 100 ปีที่แล้ว (ความสำคัญของการฝึกทักษะในเชิงกว้าง) 163
บทความนี้ต่อเนื่องจากบทความที่แล้วของผม
ในบล๊อกนี้ผมจะขอนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจในหนังสือเรื่อง Range : วิชารอบรู้
(หนังสือที่ช่วยปลอบประโลมคน Self doubt แบบผมได้ดีมาก)
เริ่มกันเลย
ทุกคนอาจจะเคยเห็นหรืออาจจะเคยทำแบบทดสอบข้างบนนี้มาก่อรบ้างแล้ว
แต่อาจจำไม่ได้ได้ว่าเคยเห็นมาจากไหน
.
.
.
ใช่แล้วครับ มันอยู่ในแบบทดสอบการวัดระดับ IQ
ชื่อของมันคือ Ravan's Progression Metrices
ซึ่งหน้าที่ของมันคือทำพยายามวัดความสามารถในการเข้าใจสิ่งที่ซับซ้อนของคนว่ามีมากน้อยเพียงใด
ลักษณธของคำถามจะเป็นอย่างที่เห็นคือจะมีการแสดงลำดับของรูปนามธรรม (Abstract)
และให้เราหาคำตอบในส่วนรูปที่หายไป
.
.
.
แบบทดสอบเรเวนนี้ถือเป็นแบบทดสอบชั้นยอดที่ "ไม่อิงวัฒนธรรม" ใดๆเลย
จึงถือว่าสากลมากๆ ในการใช้วัด IQ
(ถ้ามีมนุษย์ต่างดาวบุกโลก แบบทดสอบนี้ก็คงเหมาะสุดที่จะวัดว่าไอ่ตัวนั้นมันฉลาดประมาณไหน)
.
.
.
ปี 1981 มีนักรัฐศาสตร์ขี้สงสัยคนนึงชื่อ Jame Flynn
ได้เริ่มงานวิจับที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการได้อ่านข้อมูลผลการศึกษาเปรียบเทียบระหว่าง
IQ ทหารสงความโลกครั้งที่ 1 VS IQ ทหารสงครามโลกครั้งที่ 2
ผลคือคะแนนที่เปอร์เซ็นไทด์ที่ 50 ของทหารสงครามโลกครั้งที่ 1
เท่ากับเปอร์เซ็นไทด์ที่ 22 ของทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2
.
.
.
เขาสงสัยว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วโลกเหมือนๆกันรึป่าว
เขาจึงเริ่มส่งจดหมายหานักวิจัยทั่วโลกเพื่อหาข้อมูลในแนวๆเดียวกันนี้
ไม่กี่เดือนต่อมา เขาก็ได้รับจดหมายส่งมาจากนักวิจัยชาวดัตส์
ในจดหมายเป็นข้อมูลผลทดสอบ IQ ของชายหนุ่มชาวดัตส์ข้ามรุ่นจำนวนมาก
โดยวิธีการใช้แบบทดสอบเรเวนนี้เอง
.
.
.
ข้อมูลแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบคะแนนแบบข้ามรุ่น
และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ จริงๆแล้วแบบทดสอบนี้ถูกปรับให้ยากขึ้นทุกปี
เพื่อให้คะแนนเฉลี่ยนเป็นเส้นโค้งปกติ (Normal Curve) แต่ถึงอย่างนั้น คะแนนเฉลี่ยก็สูงขึ้นอยู่ดี
.
.
.
ภายหลังที่ฟลินน์ได้ตีพิมพ์เรื่องนี้ในปี 1987 ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกว่า Flynn Effect
ที่โดยเฉลี่ยแล้ว IQ ของคนจะสูงขึ้น 3 คะแนนทุก 10 ปี
(หมายความว่าถ้าคุณมี IQ เท่ากับค่าเฉลี่ยของวันนี้ คุณฉลาดกว่าอีก 98 เปอร์เซ็น ของคนเมื่อ 100 ปีที่แล้ว)
.
.
.
ตัวอย่างที่น่าสนใจอีกอย่างนึงคือ การศึกษาผลการทดสอบระดับชาติของเอสโตเนีย
เปรียบเทียบระหว่างปี 1930 และ ปี 2006 พบว่า
คะแนนด้านความรู้ทั่วไป เรขาคณิต คำศัพท์ คะแนนไม่ได้พัฒนาเพิ่มขึ้นต่างกันมากนัก
แต่คะแนนที่เป็นคำถามเชิงนามธรรมกลับมีคะแนนสูงขึ้นอย่างเด่นชัด
.
.
.
เด็กสมัยใหม่ ไม่ได้เข้าใจคำว่า "แม่ไก่,การกิน,การเจ็บป่วย" ได้ดีกว่ารุ่นปู่ ย่า
แต่ถ้าเป็นคำที่แสดงถึงความคิดเชิงนามธรรมอย่าง " กฎหมาย,คำปฏิญาณ,พลเมือง"
กลับกลายเป็นว่าพวกเขาเข้าใจมากกว่าหลายเท่า
.
.
.
ความจริงแล้ว ในหนังสือมีตัวอย่างอีกมากมายที่สนับสนุนข้อสรุปที่ผมจะขอยกมาต่อจากนี้
เพื่อที่จะไม่ทำให้ยาวเกินไป
.
.
.
ฟลินน์ได้สรุปว่า สิ่งที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ คือการใช้ความคิดเชิงนามธรรม แทนที่การใช้ความคิดเชิงวัตถุ
ที่เขาตั้งชื่อให้มันว่า "การมองผ่านแว่นตาวิทยาศาสตร์"
.
.
.
กล่าวคือ แทนที่จะมองผ่านประสบการณ์ตรงของตัวเอง เราเข้าใจความจริง ผ่านกรอบความคิดแบบแยกประเภท ใช้แนวคิดเชิงนามธรรมเป็นชั้นๆ เพื่อเข้าใจความสัมพันธ์ของข้อมูลมากกว่า 1 ชุด
.
.
.
ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในโลกสมัยใหม่ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
หรือการแก้ปัญหาแบบโหดร้าย (wicked problem)
.
.
.
ดังนั้น วคามเชี่ยวชาญในสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นจำเป็น แต่การการที่มีทักษะเชิงกว้างนั้น อาจมีประโยชน์ในการแก้ปัญหาแบบที่
ไม่มีความตายตัว ไม่มีแบบแผน ไม่มีรูปแบบที่แน่นอนได้ จากคลังประสบการณ์ที่กว้างนั่นเอง
.
.
.
การฝึกฝนในเชิงกว้าง นอกเหนือความเชี่ยวชาญของตนเองนั้น
อาจไม่ได้หมายถึงการให้นักศึกษาเอกตอมพิวเตอร์ ต้องศึกษาประวัติศาสตร์ศิลป์ด้วยทุกคน
แต่คือการที่ว่า เราทุกคนควรมีนิสัยการคิดที่พร้อมจะก้าวข้ามแวดวง สาขาที่เราเชี่ยวชาญ
เพื่อมองหามุมมองที่กว้างมากขึ้น
- Jame Flynn-
.
.
.
มาถึงตรงนี้ตงต้องบอกว่าการเป็นเป็ดอาจทำให้คุณได้เปรียบ
ในบางหน้างานด้วยซ้ำไป
.
.
.
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
ณัฐพล