E.Coli คืออะไร  72

คำสำคัญ : E"Coli,  สิ่งปนเปื้อน  
E. coli (ชื่อเต็ม *Escherichia coli*) เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไปในลำไส้ของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยปกติแล้ว E. coli จะไม่เป็นอันตรายและมีบทบาทสำคัญในการช่วยย่อยอาหาร อย่างไรก็ตาม บางสายพันธุ์ของ E. coli เช่น E. coli O157:H7 สามารถผลิตสารพิษที่ทำให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรงได้ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคอาหารเป็นพิษ อาการท้องเสีย และในบางกรณีอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่า เช่น ไตวาย
 
การติดเชื้อจาก E. coli มักเกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียนี้ การป้องกันการติดเชื้อสามารถทำได้โดยการรักษาความสะอาดของอาหารและน้ำดื่ม รวมถึงการปรุงอาหารให้สุกดี
 
การตรวจหา **E. coli** ในตัวอย่างเช่น อาหาร น้ำ หรือสารคัดหลั่งจากร่างกาย เช่น อุจจาระ สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และประเภทของตัวอย่าง วิธีที่ใช้บ่อยได้แก่:
 
1. การเพาะเลี้ยงเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Culture): 
   - ตัวอย่างจะถูกนำมาเพาะในอาหารเลี้ยงเชื้อเฉพาะที่สนับสนุนการเจริญเติบโตของ E. coli จากนั้นจะทำการบ่มเพื่อให้เชื้อเจริญเติบโตเป็นโคโลนี การตรวจสอบลักษณะโคโลนีสามารถบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของ E. coli
   - วิธีนี้ใช้กันทั่วไปในห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อในมนุษย์หรือเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของอาหารและน้ำดื่ม
 
2. การตรวจสอบทางชีวเคมี (Biochemical Tests):
   - ใช้การทดสอบทางชีวเคมีเพื่อยืนยันตัวตนของ E. coli เช่น การทดสอบอินโดล (Indole test), การทดสอบ methyl red (MR test), การทดสอบ Voges-Proskauer (VP test) และการทดสอบซิเตรต (Citrate test)
   - ผลการทดสอบเหล่านี้จะช่วยแยกแยะ E. coli จากแบคทีเรียชนิดอื่นๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน
 
3. การทดสอบโดยวิธี PCR (Polymerase Chain Reaction):
   - ใช้เทคนิค PCR เพื่อเพิ่มจำนวนสารพันธุกรรมของ E. coli จากตัวอย่าง การตรวจสอบสารพันธุกรรมเฉพาะนี้สามารถบ่งชี้การมีอยู่ของเชื้อ E. coli ได้อย่างแม่นยำ
   - วิธีนี้รวดเร็วและมีความไวสูง
 
4. การทดสอบโดยใช้แอนติเจนหรือแอนติบอดี (Immunoassays):
   - ใช้แอนติเจนหรือแอนติบอดีเฉพาะเพื่อจับกับโปรตีนเฉพาะของ E. coli วิธีนี้สามารถใช้ตรวจสอบการมีอยู่ของแบคทีเรียได้อย่างรวดเร็ว
   - มีการใช้ชุดทดสอบอย่าง ELISA (Enzyme-Linked Immunosorbent Assay) เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อหรือปนเปื้อนของ E. coli ในอาหารและน้ำ
 
5. การตรวจหาเชื้อในน้ำ (Water Testing):
   - สำหรับการตรวจสอบความปลอดภัยของน้ำ การตรวจวัดระดับคอลิฟอร์ม (coliform) ทั้งหมดซึ่งรวมถึง E. coli มักจะเป็นวิธีมาตรฐาน ถ้ามีการพบคอลิฟอร์มในตัวอย่างน้ำ จะมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการมีอยู่ของ E. coli
 
      ทุกวิธีเหล่านี้มีความสำคัญและใช้ในบริบทต่าง ๆ ตามความต้องการของการตรวจวินิจฉัยหรือตรวจสอบ
 
E. coli มักพบในหลายที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ที่มีการปนเปื้อนจากของเสียของสัตว์หรือมนุษย์ ดังนี้:
 
1. ลำไส้ของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม:
   - E. coli เป็นแบคทีเรียธรรมชาติที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มันเป็นส่วนหนึ่งของจุลินทรีย์ในลำไส้และมีบทบาทในการย่อยอาหาร
 
2. อุจจาระของมนุษย์และสัตว์:
   - เนื่องจาก E. coli อาศัยอยู่ในลำไส้ จึงพบได้ในอุจจาระ การปนเปื้อนจากอุจจาระเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ E. coli พบในแหล่งน้ำและอาหาร
 
3. น้ำที่ปนเปื้อน:
   - E. coli สามารถพบได้ในน้ำที่ปนเปื้อน เช่น น้ำดื่มที่ไม่ได้รับการกรองหรือน้ำในแม่น้ำและทะเลสาบที่มีการปล่อยของเสียจากมนุษย์หรือสัตว์ หากมีการบริโภคน้ำที่ปนเปื้อนนี้ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
 
4. อาหารที่ปนเปื้อน:
   - E. coli สามารถพบในอาหารที่ปนเปื้อน เช่น เนื้อสัตว์ดิบหรือที่ปรุงไม่สุก ผักและผลไม้ที่ล้างด้วยน้ำที่ปนเปื้อน และผลิตภัณฑ์นมที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์
 
5. พื้นผิวที่ปนเปื้อน:
   - พื้นผิวต่างๆ เช่น โต๊ะทำครัว เครื่องมือทำอาหาร หรือมือของคนทำอาหารที่สัมผัสกับอาหารหรือสิ่งแวดล้อมที่มี E. coli สามารถเป็นแหล่งแพร่เชื้อได้
 
การป้องกันการติดเชื้อ E. coli มักเน้นที่การรักษาความสะอาด การล้างมือ การปรุงอาหารให้สุกเต็มที่ และการป้องกันการปนเปื้อนข้ามจากอาหารดิบไปยังอาหารปรุงสุก
 
การป้องกันการติดเชื้อ **E. coli** สามารถทำได้โดยปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้:
 
1. ล้างมือให้สะอาด: ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดหลังจากใช้ห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม หรือสัมผัสสัตว์
 
2.  ปฏิบัติสุขอนามัยในการเตรียมอาหาร:
   - ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน
   - ปรุงเนื้อสัตว์ให้สุกทั่วถึง (โดยเฉพาะเนื้อวัว เนื้อหมู และเนื้อไก่)
   - ใช้เขียงและอุปกรณ์ทำอาหารแยกกันสำหรับเนื้อดิบและอาหารอื่นๆ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนข้าม
 
3. เก็บรักษาอาหารให้ปลอดภัย: เก็บอาหารในตู้เย็นที่อุณหภูมิที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน เช่น นมดิบและน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์
 
4. ดื่มน้ำสะอาด: ดื่มน้ำจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือผ่านการกรองและต้มสุกก่อนดื่ม
 
5. หลีกเลี่ยงการกลืนน้ำเมื่อว่ายน้ำ: โดยเฉพาะในแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น ทะเลสาบหรือแม่น้ำ
 
6. ดูแลความสะอาดของสถานที่ปรุงอาหาร: ทำความสะอาดพื้นผิวและอุปกรณ์ครัวอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
 
 

เขียนโดย : วัฒนจักร  พุ่มวิเศษ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : watanachak.p@mhesi.go.th