Knowledge Sharing ชุมชนแห่งการเรียนรู้...
										
										 ประสบการณ์การเข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร STEM (Science, Technology Engineering, and Mathematics) ของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  278
ประสบการณ์การเข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร STEM (Science, Technology Engineering, and Mathematics) ของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  278 		
									
								
																	
									 ประสบการณ์การเข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร STEM (Science, Technology Engineering, and Mathematics) ของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  278
ประสบการณ์การเข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร STEM (Science, Technology Engineering, and Mathematics) ของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  278 		
									สวัสดีครับ ในบล็อกนี้จะมาเล่าประสบการณ์การเข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพบุคคลากร STEM (Science, Technology Engineering, and Mathematics) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) National Science and Technology Development Agency แบบไม่รู้ตัวมาก่อน เนื่องจากอาจารย์ที่ปรึกษาได้มอบหมายให้ดำเนินโครงการนี้ ซึ่งตอนนี้ที่เขียนบล็อกนี้ก็กำลังค้นหาว่าโครงการนี้มันทำอะไรกันแน่ แล้วตอนที่ทำโครงการนี้จนจบสมบูรณ์แล้ว มันตอบโจทย์ของ สวทช. หรือเปล่า??
โครงการศักยภาพพัฒนาบุคลากร STEM (Science, Technology Engineering, and Mathematics) รองรับภาคอุตสาหกรรมเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เป็นการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถือว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตามโมเดล “ประเทศไทย4.0” ของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการพัฒนา 10อุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี (EEC) ที่จะช่วยยกระดับให้ไทยก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูง หรือประเทศพัฒนาแล้วได้ภายใน ปี พ.ศ. 2575ตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ
แต่เนื่องจาก 10อุตสาหกรรมเป้าหมายในอีอีซี มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิตและบริการ รวมถึงภาคการสนับสนุนที่จำเป็นต้องใช้แรงงานที่มีทักษะสูงและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ฯลฯ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงจัดทำ “โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร STEM (Science, Technology, Engineering and Mathematics) เพื่อการวิจัยและพัฒนาสำหรับภาคอุตสาหกรรม” ขึ้น เพื่อสร้างและพัฒนาบุคลากรวิจัยที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม โครงการนี้เปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยที่กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอกที่มีความสนใจในการทำโครงการหรืองานวิจัยร่วมกับภาคอุตสาหกรรมเป้าหมาย สามารถสมัครเข้ารับทุนสนับสนุนค่าใช้จ่ายได้โดยมีระยะเวลารับทุน 6-12 เดือน
โดย 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายของประเทศ ได้แก่ 5อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) ที่ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร และ 5อุตสาหกรรมอนาคต (New S Curve) ประกอบด้วยอุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ทั้งนี้ผู้มีส่วนร่วมในการจัดทำโครงการศักยภาพบุคลากร STEM เช่น อาจารย์หรือมหาวิทยาลัยที่มีผู้ช่วยวิจัยระดับปริญญาโท-เอก จะได้ใช้ประโยชน์ในการร่วมทำวิจัยกับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยสนับสนุนให้งานวิจัยสำเร็จเร็วขึ้น และพัฒนาศักยภาพนักศึกษา เพื่อจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานจริง มีโอกาสได้รับการจ้างงานและได้รับค่าตอบแทนระหว่างการทำโครงการสำหรับภาคอุตสาหกรรมสามารถลดต้นทุนในการจ้างผู้ช่วยนักวิจัย และมีโอกาสคัดเลือกนักศึกษา (ผู้ช่วยนักวิจัย) ที่มีศักยภาพเพื่อร่วมงานในอนาคต นอกจากนี้ยังช่วยให้งานวิจัยสำเร็จเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากการช่วยสนับสนุนของอาจารย์และนักศึกษาอีกทั้งยังมีส่วนร่วมสำคัญในการพัฒนาบุคลากรของประเทศร่วมกับมหาวิทยาลัยและ สวทช.
โครงการนี้จึงเป็นอีกหนึ่งกลไกของ สวทช. ในปี พ.ศ. 2560-2561ในการพัฒนาบุคลากรวิจัยด้าน STEM เผื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมของประเทศแบบเร่งด่วนจำนวน 273 คน และยังเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัยและสร้างสรรค์นวัตกรรมในภาคการผลิตและบริการระหว่าง สวทช. กับสถาบันการศึกษารวมถึงกระตุ้นให้เกิดการนำองค์ความรู้ผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการอีกด้วย(ข้อมูลจากเว็บไซต์ สวทช.)
โดยตอนนั้นได้ดำเนินการทำงานวิจัยร่วมกับบริษัทแอคเซ็ป โปรดักส์ จำกัด โดยมีหัวข้องานวิจัยว่า “การเพิ่มธาตุอาหารที่มีประโยชน์ให้แก่สลัดไฮโดรพอนิกส์เพื่อเพิ่มมูลค่าทาเศรษฐกิจ”โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
การเพิ่มธาตุอาหารที่มีประโยชน์ให้แก่สลัดไฮโดรพอนิกส์เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ มีจุดประสงค์เพื่อวัดปริมาณธาตุแคลเซียมในผักคะน้าและลดปริมาณการสะสมธาตุไนโตรเจน เมื่อได้รับสารอาหารสูตรเพิ่มแคลเซียมและลดไนโตรเจนเปรียบเทียบกับชุดควบคุม โดยการวิจัยนี้ทำการทดลองการปลูกคะน้าแบบไฮโดรพอนิกส์ในอาหารสูตรเพิ่มแคลเซียมในสูตรต่างๆ เพื่อวัดปริมาณแคลเซียมและไนโตรเจนในคะน้าหลังการเก็บเกี่ยว โดยผลการวิเคราะห์ธาตุแคลเซียมด้วยเครื่อง atomic absorbance พบว่าในส่วนของลำต้นและใบคะน้าที่ปลูกด้วยสูตรอาหารที่เพิ่มแคลเซียม 60% การเพิ่มของแคลเซียมในผลผลิตคะน้าดีที่สุดแตกต่างจากชุดควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ความเชื่อมั่น 95% เมื่อเทียบกับกราฟมาตรฐาน (R² = 0.9964) อีกทั้งผลการทดลองการวัดเปอร์เซ็นต์ของธาตุแคลเซียมและไนโตรเจนด้วยเครื่อง Scanning Electron Microscope เมื่อเปรียบเทียบส่วนของลำต้น ก้านใบและใบ พบว่าคะน้าที่ปลูกด้วยสูตรอาหารที่เพิ่มแคลเซียม 60% การเพิ่มของแคลเซียมในผลผลิตคะน้าดีที่สุดแตกต่างจากชุดควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ความเชื่อมั่น 95% ยกเว้นที่ส่วนของก้านใบที่มีการเพิ่มของแคลเซียมในผลผลิตคะน้าดีที่สุดแตกต่างจากชุดการทดลองอื่น แต่ในส่วนของเปอร์เซ็นต์ธาตุไนโตรเจนนั้นไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงในทุกชุดการทดลอง จากการทดลองสรุปได้ว่าสูตรที่ดีที่สุดในการปลูกคะน้าเพื่อเพิ่มธาตุอาหารที่มีประโยชน์ให้แก่คะน้าหลังการเก็บเกี่ยวคือสูตรอาหารที่เพิ่มคลเซียม 60% แต่ต้องมีการปรับปรุงสูตรการปลูกใหม่เพื่อลดปริมาณไนโตรเจนที่สะสมอยู่ผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยวอีกครั้ง
	
 เครือข่ายส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม
						กปว.#
						 เครือข่ายส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม
						กปว.#