Knowledge Sharing ชุมชนแห่งการเรียนรู้...
ขั้นตอนที่ 3 Design Thinking ขั้นตอน IDEATE 43

ตอนที่ 3 Design Thinking ขั้นตอน IDEATE (แบบละเอียด)
ศาสตร์แห่งการคิดสร้างสรรค์ที่เหนือขีดจำกัด
.
หลังจากที่เราได้ Empathize เพื่อเข้าใจผู้คน และ Define เพื่อกำหนดปัญหาที่แท้จริงแล้ว ขั้นตอนถัดมาคือ Ideate ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งการคิดสร้างสรรค์ที่เหนือขีดจำกัด Ideate ไม่ใช่แค่การ "brainstorm" แบบที่หลายคนคิด แต่เป็นกระบวนการที่มีระบบในการสร้างไอเดียที่แปลกใหม่ เป็นไปได้ และตอบโจทย์ปัญหาที่เรา Define ไว้อย่างชาญฉลาดครับ
.
ความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดในขั้นตอน Ideate คือการคิดว่าไอเดียที่ดีต้องเป็นไอเดียที่ "ใหม่ที่สุด" หรือ "ซับซ้อนที่สุด" แต่ความจริงแล้ว ไอเดียที่ดีที่สุดมักจะเป็นไอเดียที่ "เหมาะสมที่สุด" กับปัญหาที่เรากำลังแก้ บางครั้งไอเดียที่ดูง่ายๆ อาจจะเป็นไอเดียที่ทรงพลังที่สุด เพราะมันใช้งานได้จริงและคนสามารถเข้าใจได้ง่ายครับ
.
หลักการสำคัญของ Ideate คือ "Quantity breeds Quality" การมีไอเดียจำนวนมากจะเพิ่มโอกาสในการได้ไอเดียที่ดี นักวิจัยจาก Stanford พบว่า คนที่คิดไอเดีย 100 ไอเดียจะมีโอกาสได้ไอเดียที่ดีมากกว่าคนที่คิดแค่ 10 ไอเดีย ถึง 5 เท่า เพราะไอเดียที่ดีมักจะซ่อนอยู่หลังไอเดียที่เห็นได้ชัดและคิดง่ายครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายข้าวแกงที่ต้องการเพิ่มลูกค้าใหม่ แทนที่จะคิดแค่ "ลดราคา" หรือ "เพิ่มโปรโมชัน" คุณอาจจะใช้เทคนิค Ideate และคิดไอเดียมากมาย เช่น "ให้ลูกค้าชิมก่อนซื้อ" "ขายข้าวแกงแบบเซ็ต" "สร้างแอปพลิเคชันสั่งล่วงหน้า" "จัดคลาสทำแกงให้ลูกค้า" "ทำข้าวแกงไปขายที่ออฟฟิศ" "สร้างสูตรแกงพิเศษ" "ให้ลูกค้าแต่งหน้าข้าวเอง" และอีกมากมาย จากนั้นค่อยเลือกไอเดียที่เหมาะสมที่สุดครับ
.
เทคนิคแรกที่จะทำให้การ Ideate ของคุณมีประสิทธิภาพคือ "SCAMPER Technique" ซึ่งเป็นการใช้คำถาม 7 แบบในการต่อยอดไอเดีย S (Substitute) - แทนที่ด้วยอะไร, C (Combine) - รวมกับอะไร, A (Adapt) - ปรับให้เข้ากับอะไร, M (Modify/Magnify) - ดัดแปลงหรือขยายอย่างไร, P (Put to other uses) - ใช้ประโยชน์อื่นอย่างไร, E (Eliminate) - กำจัดอะไรออก, R (Reverse/Rearrange) - กลับด้านหรือจัดใหม่อย่างไรครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านตัดผมชาย คุณอาจจะใช้ SCAMPER แบบนี้ S: แทนที่กรรไกรด้วยเครื่องตัดไฟฟ้าที่เงียบกว่า, C: รวมบริการตัดผมกับนวดไหล่, A: ปรับบริการให้เหมาะกับคนทำงานที่มีเวลาจำกัด, M: ขยายเป็นบริการตัดผมถึงบ้าน, P: ใช้ช่วงเวลาว่างสอนตัดผมให้คนสนใจ, E: กำจัดการรอคิวด้วยระบบจองออนไลน์, R: จัดเก้าอี้ใหม่ให้ลูกค้าหันหน้าเข้าหากันเพื่อสร้างบรรยากาศเป็นกันเองครับ
.
เทคนิคที่สองคือ "Analogical Thinking" การคิดโดยการเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง การนำหลักการหรือวิธีการจากอุตสาหกรรมหนึ่งมาใช้ในอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง มักจะนำไปสู่ไอเดียที่แปลกใหม่และมีประสิทธิภาพ เช่น การนำหลักการของ Netflix มาใช้ในร้านเช่าจักรยาน หรือนำหลักการของ Uber มาใช้ในบริการส่งอาหารครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านซักรีด คุณอาจจะใช้ Analogical Thinking โดยเปรียบเทียบกับ "ธนาคาร" เพราะทั้งสองอย่างต้องการความน่าเชื่อถือและการรักษาความปลอดภัยของสิ่งที่ลูกค้าฝาก คุณจึงคิดไอเดีย "ระบบ Tracking เสื้อผ้า" เหมือนการติดตามเงินในธนาคาร, "ประกันเสื้อผ้า" เหมือนประกันเงินฝาก, "บริการ VIP" สำหรับเสื้อผ้าราคาแพง เหมือน Private Banking, และ "การแจ้งเตือนผ่าน SMS" เมื่อเสื้อผ้าพร้อมเหมือนการแจ้งรายการธนาคารครับ
.
เทคนิคที่สามคือ "Constraint Removal" การคิดไอเดียโดยการสมมติว่าไม่มีข้อจำกัดใดๆ ก่อน จากนั้นค่อยกลับมาปรับให้เป็นไปได้ การเริ่มต้นด้วยการไม่มีข้อจำกัดจะทำให้เราคิดไอเดียที่กล้าหาญและแปลกใหม่กว่า แล้วจึงค่อยๆ ปรับลงมาสู่ความเป็นจริงครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายหนังสือ คุณอาจจะเริ่มด้วยการคิดว่า "ถ้าไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงิน เวลา และพื้นที่ เราจะทำอะไรได้บ้าง" คุณอาจจะคิดไอเดีย "ร้านหนังสือที่ลูกค้าสามารถนอนอ่านได้" "ร้านหนังสือที่มีนักเขียนมานั่งเขียนหนังสือให้ดูทุกวัน" "ร้านหนังสือที่เปลี่ยนธีมตามเทศกาล" จากนั้นปรับลงมาเป็น "มุมอ่านสบายๆ ที่มีเบาะนุ่ม" "จัดงาน Meet & Greet กับนักเขียนเดือนละครั้ง" "จัดแสดงหนังสือตามธีมที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ" ครับ
.
การใช้ "Random Word Technique" เป็นเทคนิคที่ทรงพลังในการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ การเลือกคำศัพท์แบบสุ่มแล้วพยายามเชื่อมโยงกับปัญหาที่เรากำลังแก้ จะช่วยให้สมองเราคิดในมุมที่ไม่เคยคิดมาก่อน เพราะมันบังคับให้เราหาความเชื่อมโยงที่แปลกใหม่ครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านกาแฟ และได้คำสุ่มเป็น "ผีเสื้อ" คุณอาจจะคิดไอเดีย "กาแฟที่เปลี่ยนสีเมื่อใส่นม" (เหมือนผีเสื้อที่เปลี่ยนสี), "บริการ Coffee Tasting Flight" (เหมือนผีเสื้อที่บินไปดูดน้ำหวานจากดอกไม้หลายต้น), "ลาเต้อาร์ตรูปผีเสื้อ", "การจัดร้านให้มีมุมสวยๆ หลายมุมเหมือนสวนผีเสื้อ" หรือ "เมนูเครื่องดื่มที่เปลี่ยนตามฤดูกาลเหมือนวงจรชีวิตของผีเสื้อ" ครับ
.
เทคนิค "Six Thinking Hats" ของ Edward de Bono จะช่วยให้เราดูปัญหาจากมุมมองที่แตกต่างกัน หมวกขาว (ข้อเท็จจริง), หมวกแดง (อารมณ์), หมวกดำ (ความระมัดระวัง), หมวกเหลือง (ความหวัง), หมวกเขียว (ความคิดสร้างสรรค์), หมวกน้ำเงิน (การควบคุม) การสวมหมวกแต่ละใบจะทำให้เราได้ไอเดียที่หลากหลายและครบถ้วนครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายของเล่นเด็ก คุณอาจจะใช้ Six Thinking Hats แบบนี้ หมวกขาว: เด็กปัจจุบันเล่นแท็บเล็ตมากกว่าของเล่นจริง, หมวกแดง: พ่อแม่รู้สึกผิดที่ให้ลูกเล่นหน้าจอมากเกินไป, หมวกดำ: ของเล่นแพงเกินไปเด็กจะเบื่อเร็ว, หมวกเหลือง: ของเล่นที่ดีจะช่วยพัฒนาสมองเด็ก, หมวกเขียว: ทำให้ของเล่นเชื่อมต่อกับแอปเพื่อเพิ่มความสนุก, หมวกน้ำเงิน: ควรจัดหมวดหมู่ตามวัยและทักษะที่ต้องการพัฒนาครับ
.
การใช้ "Provocative Questions" หรือคำถามที่ท้าทาย จะช่วยกระตุ้นให้เราคิดไอเดียที่กล้าหาญขึ้น เช่น "ถ้าเราต้องแก้ปัญหานี้ด้วยงบแค่ 100 บาท เราจะทำอย่างไร?" "ถ้าเราต้องทำให้ลูกค้าหัวเราะทุกครั้งที่ใช้บริการ เราจะทำอย่างไร?" "ถ้าเราต้องแก้ปัญหานี้โดยไม่ใช้เทคโนโลยีเลย เราจะทำอย่างไร?" คำถามเหล่านี้จะบังคับให้เราคิดนอกกรอบครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ และใช้คำถามท้าทาย "ถ้าต้องให้ลูกค้าสนุกกับการซ่อมรถ เราจะทำอย่างไร?" คุณอาจจะคิดไอเดีย "ให้ลูกค้าชมการซ่อมแบบ Interactive", "มีจอแสดงข้อมูลสภาพรถแบบเกม", "ให้ลูกค้าได้ลองใช้เครื่องมือง่ายๆ", "จัดให้มีช่วงเวลาเรียนรู้เรื่องรถ", "สร้างบรรยากาศเหมือนห้องแล็บวิทยาศาสตร์", หรือ "ให้ลูกค้าถ่ายรูปกับรถที่ซ่อมเสร็จแล้วพร้อมเล่าเรื่องราวการซ่อม" ครับ
.
เทคนิค "Biomimicry" การเลียนแบบธรรมชาติ เป็นแหล่งไอเดียที่ไม่มีวันหมด ธรรมชาติได้พัฒนาโซลูชันต่างๆ มาเป็นล้านปี และหลายอย่างมีประสิทธิภาพสูงมาก การนำหลักการจากธรรมชาติมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ มักจะได้ไอเดียที่ยั่งยืนและสร้างสรรค์ครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายอาหารสุขภาพ คุณอาจจะใช้ Biomimicry โดยเลียนแบบ "ผึ้ง" ที่บินไปเก็บเกสรจากดอกไม้หลากหลายชนิดเพื่อทำน้ำผึ้งที่มีประโยชน์ คุณจึงคิดไอเดีย "เมนูผสมผสาน" ที่รวมสารอาหารจากหลายแหล่ง, "ระบบสมาชิกแบบ Hive" ที่ลูกค้าแนะนำกันเอง, "การส่งมอบแบบ Pollination" ที่กระจายความรู้เรื่องสุขภาพไปยังชุมชน, และ "การสร้างเครือข่ายร้านอาหารสุขภาพเหมือนรังผึ้งที่เชื่อมต่อกัน" ครับ
.
การใช้ "Role Playing Ideation" การสวมบทบาทเป็นคนอื่นหรือแม้แต่สิ่งของ จะช่วยให้เราเห็นปัญหาจากมุมมองที่แตกต่าง เช่น การสวมบทเป็นเด็ก 5 ขวบ คนตาบอด ผู้สูงอายุ 80 ปี หรือแม้แต่สวมบทเป็นสินค้าที่เราขาย การเปลี่ยนมุมมองแบบนี้จะทำให้เราคิดไอเดียที่ไม่เคยคิดมาก่อนครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายดอกไม้ และลองสวมบทเป็น "ดอกไม้" คุณอาจจะคิดไอเดีย "ฉันอยากอยู่ในแจกันที่ทำให้ฉันสวยที่สุด", "ฉันอยากเล่าเรื่องราวของฉันให้คนฟัง", "ฉันอยากให้คนเข้าใจว่าต้องดูแลฉันอย่างไร", "ฉันอยากให้คนรู้ว่าฉันมาจากไหนและมีความหมายอะไร" จากนั้นแปลงเป็นไอเดีย "บริการจัดแจกันให้เหมาะกับดอกไม้", "บัตรเล่าเรื่องราวของดอกไม้แต่ละชนิด", "คู่มือการดูแลเฉพาะดอก", และ "เล่าที่มาและความหมายของดอกไม้ให้ลูกค้าฟัง" ครับ
.
เทคนิค "Worst Possible Idea" การคิดไอเดียที่แย่ที่สุดก่อน แล้วจึงกลับด้านหรือปรับปรุง วิธีนี้จะช่วยให้เราคิดได้ผ่อนคลายกว่า และบางครั้งไอเดียที่แย่อาจจะกลายเป็นไอเดียที่ดีเมื่อมองจากมุมอื่น หรือเป็นแรงบันดาลใจสำหรับไอเดียที่ดีกว่าครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายขนมหวาน คุณอาจจะเริ่มด้วยการคิดไอเดียแย่ๆ เช่น "ขายขนมที่กินแล้วฟันผุ", "ขนมที่หวานจนเกินไป", "ขนมที่ใหญ่จนกินไม่หมด", "ขนมที่มีรสชาติแปลกๆ" จากนั้นกลับด้านเป็น "ขนมที่ใส่แคลเซียมดีต่อฟัน", "ขนมหวานธรรมชาติจากผลไม้", "ขนมไซส์พอดีคำสำหรับแชร์", "ขนมรสชาติฟิวชันที่แปลกใหม่แต่อร่อย" ซึ่งกลายเป็นไอเดียที่น่าสนใจครับ
.
การใช้ "Future Scenarios" การคิดไอเดียสำหรับสถานการณ์ในอนาคต จะช่วยให้เราเตรียมพร้อมและสร้างไอเดียที่ก้าวหน้า การคิดถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นใน 5-10 ปีข้างหน้า และคิดไอเดียที่จะตอบสนองโลกยุคนั้น จะทำให้ธุรกิจของเรามีความยั่งยืนมากขึ้นครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านตัดเสื้อผ้า คุณอาจจะคิดถึงอนาคตที่ "คนทำงานที่บ้านมากขึ้น" "ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น" "ต้องการความเป็นเอกลักษณ์มากขึ้น" และคิดไอเดีย "เสื้อผ้าที่สวยทั้งในกล้องและนอกกล้อง", "บริการรีไซเคิลเสื้อผ้าเก่าเป็นแบบใหม่", "ระบบ Custom Design ผ่านแอป", "เสื้อผ้าที่เปลี่ยนสไตล์ได้หลายแบบ", "บริการส่งตัดที่บ้าน", และ "ระบบ Subscription เสื้อผ้าตามโอกาส" ครับ
.
เทคนิค "Cross-Pollination" การนำไอเดียจากวัฒนธรรมหรือประเทศอื่นมาปรับใช้ในบริบทไทย หรือนำความเป็นไทยไปผสมกับแนวคิดสากล การผสมผสานแบบนี้มักจะได้ไอเดียที่เฉพาะตัวและน่าสนใจ เพราะมันสร้างสิ่งใหม่จากการรวมกันของสิ่งที่มีอยู่แล้วครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านนวดแผนไทย คุณอาจจะใช้ Cross-Pollination โดยผสมแนวคิด "Spa ญี่ปุ่น" ที่เน้นความเงียบสงบ กับ "การนวดไทย" ที่เน้นการรักษา คุณจึงคิดไอเดีย "นวดไทยในบรรยากาศ Zen", "การรวมการนวดกับการทำสมาธิ", "เครื่องดื่มสมุนไพรไทยเสิร์ฟแบบ Tea Ceremony", "การใช้เสียงธรรมชาติประกอบการนวด", "ห้องนวดที่มีสวนน้อยแบบญี่ปุ่นแต่ปลูกสมุนไพรไทย", และ "บริการ Silent Massage ที่ไม่มีการพูดคุยเหมือนประเพณีญี่ปุ่น" ครับ
.
การใช้ "Resource Recombination" การนำทรัพยากรที่มีอยู่แล้วมาจัดรูปแบบใหม่ แทนที่จะไปหาทรัพยากรใหม่ วิธีนี้จะช่วยให้เราสร้างไอเดียที่ทำได้จริงและไม่ต้องลงทุนมาก การมองทรัพยากรที่มีในแง่ใหม่ๆ มักจะเปิดโอกาสที่ไม่เคยเห็นมาก่อนครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายปลา คุณมีทรัพยากร "ปลาสด", "น้ำแข็ง", "ตู้แช่", "ความรู้เรื่องปลา", "ลูกค้าประจำ" คุณอาจจะคิดไอเดีย Recombination เช่น "ใช้ความรู้เรื่องปลาสอนลูกค้าทำอาหาร", "ใช้น้ำแข็งทำเครื่องดื่มปั่นผลไม้ขายด้วย", "ใช้ตู้แช่เก็บสินค้าอื่นให้เพื่อนบ้าน", "ใช้ลูกค้าประจำเป็น Ambassador แนะนำคนใหม่", "ใช้พื้นที่เก็บปลาจัด Workshop ทำอาหารทะเล", และ "ใช้เครือข่ายซัพพลายเออร์ขายสินค้าอื่นที่เกี่ยวข้อง" ครับ
.
เทคนิค "Empathy-Driven Ideation" การคิดไอเดียที่เริ่มจากความรู้สึกของผู้คนเป็นหลัก แทนที่จะเริ่มจากฟีเจอร์หรือเทคโนโลยี การคิดจากความรู้สึกจะทำให้ไอเดียของเราสร้างการเชื่อมต่อทางอารมณ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้า เพราะมันตอบสนองความต้องการที่ลึกกว่าแค่ฟังก์ชันครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายเครื่องเขียน และเข้าใจว่านักเรียนรู้สึก "กังวลก่อนสอบ" คุณอาจจะคิดไอเดีย "เครื่องเขียนสีที่ทำให้รู้สึกสงบ", "ปากกาที่มีกลิ่นลาเวนเดอร์ผ่อนคลาย", "สมุดที่มีคำพูดให้กำลังใจ", "ไฮไลท์เตอร์ที่มีสีช่วยจำ", "เซ็ตเครื่องเขียนลดความเครียด", "บริการจัดระเบียบโต๊ะเรียนเพื่อจิตใจสงบ", และ "คลาสเรียนวิธีจดโน้ตอย่างมีประสิทธิภาพ" ซึ่งทั้งหมดตอบสนองความรู้สึกกังวลมากกว่าแค่ความต้องการเครื่องเขียนครับ
.
การใช้ "Storytelling Ideation" การคิดไอเดียผ่านการเล่าเรื่อง จะช่วยให้เราสร้างไอเดียที่มีความเป็นมนุษย์และเข้าใจง่าย การสร้างเรื่องราวสำหรับลูกค้าสมมติ และคิดว่าเขาจะใช้ชีวิตอย่างไรกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของเรา จะช่วยให้เราเห็นภาพใหญ่และรายละเอียดที่สำคัญครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายของใช้เด็กอ่อน คุณอาจจะสร้างเรื่องราว "วันหนึ่งของคุณแม่ใหม่" เธอตื่นเช้ามาลูกร้องไห้ (ต้องการนมผงที่ชงง่ายและรวดเร็ว), เปลี่ยนผ้าอ้อม (ต้องการผ้าอ้อมที่รั่วน้อย), ออกไปข้างนอก (ต้องการรถเข็นที่พับง่าย), กลับบ้านตอนเย็น (ต้องการของเล่นที่ช่วยให้ลูกสงบ), ก่อนนอน (ต้องการเพลงกล่อมเด็ก) จากเรื่องราวนี้คุณจะได้ไอเดีย "เซ็ตของใช้แม่ลูกตามช่วงเวลา", "บริการคอนซัลต์แม่ใหม่", "แอปติดตามพัฒนาการลูก" ครับ
.
เทคนิค "Constraint-Based Ideation" การตั้งข้อจำกัดที่เฉพาะเจาะจงเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ การมีข้อจำกัดที่ชัดเจนจะช่วยให้สมองเราโฟกัสและคิดไอเดียที่เฉียบคมกว่า เช่น "ต้องใช้งบแค่ 1,000 บาท" "ต้องใช้เวลาแค่ 5 นาที" "ต้องใช้พื้นที่แค่ 1 ตารางเมตร" ข้อจำกัดเหล่านี้จะผลักดันให้เราคิดโซลูชันที่แปลกใหม่ครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายของขวัญ และตั้งข้อจำกัดว่า "ลูกค้าต้องเลือกของขวัญได้ภายใน 3 นาที" คุณอาจจะคิดไอเดีย "ระบบคำถาม 5 ข้อเพื่อแนะนำของขวัญ", "การจัดหมวดหมู่ตามโอกาสและบุคลิก", "QR Code สำหรับดูข้อมูลสินค้าเร็ว", "เซ็ตของขวัญตามงบประมาณ", "บริการ Personal Shopper ด่วน", "ระบบจองล่วงหน้าผ่านไลน์", และ "การแสดงผลิตภัณฑ์แบบ One-Stop Shopping ที่เห็นได้ชัดเจนทันที" ครับ
.
การใช้ "Technology-Enabled Ideation" ในยุคดิจิทัลไม่ได้หมายถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อเทคโนโลยี แต่เป็นการคิดว่าเทคโนโลยีจะช่วยแก้ปัญหาของผู้คนได้อย่างไร โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ง่ายและราคาไม่แพง เช่น สมาร์ทโฟน แอปพลิเคชัน QR Code หรือ IoT อุปกรณ์ง่ายๆ ครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายยาสมุนไพร คุณอาจจะคิดไอเดีย Technology-Enabled เช่น "แอปสแกนใบหน้าแนะนำสมุนไพรที่เหมาะสม", "QR Code ที่เก็บข้อมูลสรรพคุณและวิธีใช้", "ระบบแจ้งเตือนเวลากินยาผ่านไลน์", "กล้องส่องดูคุณภาพสมุนไพร", "เซ็นเซอร์วัดความชื้นในกระปุกเก็บยา", "ระบบ AI แนะนำการผสมสมุนไพร", "แอปบันทึกอาการและติดตามผล", และ "ระบบ Video Call ปรึกษาหมอสมุนไพรออนไลน์" ครับ
.
เทคนิค "Co-Creation Ideation" การคิดไอเดียร่วมกับลูกค้าหรือชุมชน แทนที่จะคิดแต่เพียงฝ่ายเดียว การเปิดโอกาสให้ผู้คนมีส่วนร่วมในการคิดไอเดียจะได้โซลูชันที่ตรงใจและมีคนสนับสนุนตั้งแต่เริ่มต้น เพราะพวกเขารู้สึกเป็นเจ้าของไอเดียนั้นด้วยครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายกาแฟ คุณอาจจะใช้ Co-Creation โดย "ให้ลูกค้าประจำออกแบบเมนูเครื่องดื่มพิเศษ", "จัดให้ลูกค้ามาลองชิมกาแฟใหม่และให้ข้อเสนอแนะ", "ให้ลูกค้าเสนอธีมการตแต่งร้าน", "สร้างกลุ่มลูกค้าที่ช่วยกันคิดกิจกรรมในร้าน", "ให้ลูกค้าเลือกเพลงที่จะเปิดในร้าน", "จัด Workshop ให้ลูกค้าเรียนชงกาแฟและสอนกันเอง", และ "ให้ลูกค้าเขียนเรื่องราวของตัวเองไว้บนกำแพงร้าน" ครับ
.
การใช้ "Systems Thinking Ideation" การคิดไอเดียในระดับระบบที่ครอบคลุม แทนที่จะคิดแค่จุดเดียว การมองภาพใหญ่และเข้าใจความเชื่อมโยงจะช่วยให้เราคิดไอเดียที่สร้างผลกระทบมากกว่าและยั่งยืนกว่า เพราะมันแก้ปัญหาที่รากเหง้าและส่งเสริมกันเองครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายผลไม้ และใช้ Systems Thinking คุณอาจจะเห็นว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของระบบอาหารและสุขภาพที่ใหญ่กว่า คุณจึงคิดไอเดีย "สร้างเครือข่ายกับเกษตรกรท้องถิ่น", "ร่วมมือกับโรงพยาบาลแนะนำผลไม้สำหรับผู้ป่วย", "จัดให้มีหมอโภชนาการมาให้คำปรึกษา", "สร้างโปรแกรมกินผลไม้เพื่อสุขภาพแบบครบวงจร", "ร่วมมือกับโรงเรียนสอนเด็กเรื่องโภชนาการ", "สร้างแอปติดตามการกินผลไม้และสุขภาพ", และ "ขยายเป็นศูนย์การเรียนรู้เรื่องการเกษตรและการกินเพื่อสุขภาพ" ครับ
.
เทคนิค "Paradoxical Thinking" การคิดไอเดียที่ดูขัดแย้งหรือตรงข้ามกับสิ่งที่คนทั่วไปคิด บางครั้งการทำในสิ่งที่ดูเหมือนผิดหรือแปลก กลับกลายเป็นไอเดียที่โดดเด่นและจดจำได้ เพราะมันท้าทายความคาดหวังและสร้างความประหลาดใจครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านอาหารเจ คุณอาจจะใช้ Paradoxical Thinking และคิดไอเดีย "อาหารเจที่ดูและรสชาติเหมือนเนื้อมากที่สุด", "ร้านอาหารเจที่มีบรรยากาศสนุกสนานและมีเสียงดัง", "อาหารเจที่ทำให้อิ่มท้องมากกว่าอาหารทั่วไป", "ร้านอาหารเจที่เปิดแค่กลางคืน", "อาหารเจที่ใช้เทคนิคการปรุงแบบ BBQ และ Grill", "ร้านอาหารเจที่ให้ลูกค้าปรุงอาหารเอง", และ "อาหารเจที่เน้นความหรูหราแพงกว่าอาหารธรรมดา" ครับ
.
การใช้ "Cultural Fusion Ideation" การผสมผสานวัฒนธรรมต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อสร้างสิ่งใหม่ การนำจุดแข็งของแต่ละวัฒนธรรมมาผสมกันจะได้ไอเดียที่เฉพาะตัวและน่าสนใจ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูงครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายขนมไทย คุณอาจจะใช้ Cultural Fusion และคิดไอเดีย "ขนมไทยรสชาติญี่ปุ่น เช่น ทองหยิบรสมัทฉะ", "ขนมไทยเทคนิคฝรั่งเศส เช่น ฟองทองครีมบรูเล่", "ขนมไทยสไตล์เกาหลี เช่น บัวลอยกิมจิ", "ขนมไทยแนวอิตาเลี่ยน เช่น ขนมครกเจลาโต้", "การนำเสนอขนมไทยแบบ High Tea อังกฤษ", "ขนมไทยเวอร์ชันดิม ซัม จีน", และ "ขนมไทยแนว Tapas สเปน ที่กินเล่นได้หลายอย่าง" ครับ
.
เทคนิค "Lifecycle Ideation" การคิดไอเดียที่ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์หรือการใช้บริการ ตั้งแต่ก่อนซื้อ ขณะใช้ หลังใช้ และแม้แต่เมื่อทิ้งหรือรีไซเคิล การคิดแบบ 360 องศาจะช่วยให้เราเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ในทุกขั้นตอนครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายต้นไม้ คุณอาจจะใช้ Lifecycle Ideation แบบนี้ ก่อนซื้อ: "บริการปรึกษาเลือกต้นไม้ที่เหมาะกับบ้าน", ขณะใช้: "แอปแจ้งเตือนรดน้ำและดูแล", "บริการดูแลต้นไม้ที่บ้านลูกค้า", หลังใช้: "บริการย้ายกระถางเมื่อต้นไม้โต", "รับซื้อต้นไม้คืนเมื่อลูกค้าไม่ต้องการ", เมื่อทิ้ง: "รับรีไซเคิลกระถางเก่า", "ใช้ต้นไม้เก่าทำปุ๋ยหมัก", และขยายเป็น "ชุมชนคนรักต้นไม้ที่แลกเปลี่ยนกิ่งพันธุ์กัน" ครับ
.
การใช้ "Emotional Journey Ideation" การคิดไอเดียที่ตอบสนองการเดินทางทางอารมณ์ของลูกค้า แทนที่จะมองแค่การเดินทางเชิงฟังก์ชัน การเข้าใจว่าลูกค้ารู้สึกอย่างไรในแต่ละขั้นตอน และคิดไอเดียที่จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น จะสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและสร้างความผูกพันครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านซ่อมรถ คุณอาจจะมอง Emotional Journey ว่าลูกค้ารู้สึก "หงุดหงิด" เมื่อรถเสีย, "กังวล" เรื่องค่าใช้จ่าย, "เบื่อ" ขณะรอ, "ดีใจ" เมื่อรถดี, "ประทับใจ" ถ้าได้บริการเกินคาดหวัง คุณจึงคิดไอเดีย "บริการรับรถถึงที่" (ลดความหงุดหงิด), "ประเมินราคาล่วงหน้าชัดเจน" (ลดความกังวล), "พื้นที่รอที่สะดวกสบายมีกิจกรรม" (ลดความเบื่อ), "การส่งมอบที่เป็นพิธี" (เพิ่มความดีใจ), "ของขวัญเซอร์ไพรส์" (สร้างความประทับใจ) ครับ
.
เทคนิคสุดท้ายที่จะทำให้การ Ideate ของคุณสมบูรณ์คือ "Implementation-Ready Ideation" การคิดไอเดียที่พร้อมนำไปปฏิบัติจริง ไม่ใช่แค่ไอเดียในอุดมคติ การคิดถึงขั้นตอนการทำ ทรัพยากรที่ต้องการ และอุปสรรคที่อาจเจอ ตั้งแต่ระหว่างการคิดไอเดีย จะช่วยให้เราได้ไอเดียที่ทำได้จริงและมีโอกาสสำเร็จสูงครับ
.
ถ้าคุณเป็นร้านขายอาหารออนไลน์ และคิดไอเดีย "บริการส่งอาหารร้อนภายใน 15 นาที" คุณต้องคิดถึงการ Implementation ด้วย เช่น "ต้องมีครัวหลายจุด", "ต้องมีคนส่งเพียงพอ", "ต้องมีระบบการจัดการออเดอร์ที่รวดเร็ว", "ต้องมีเมนูที่ทำได้เร็ว", "ต้องมีกล่องใส่อาหารที่เก็บความร้อนได้ดี", "ต้องมีระบบติดตามที่แม่นยำ" เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว คุณอาจจะปรับไอเดียเป็น "บริการส่งอาหารด่วนในพื้นที่จำกัดก่อน" หรือ "เมนูพิเศษสำหรับการส่งด่วน" ที่ทำได้จริงมากกว่าครับ
.
Ideate ไม่ใช่เพียงแค่การคิดไอเดียมากๆ แต่เป็นการคิดไอเดียอย่างมีระบบและมีเป้าหมาย การใช้เทคนิคต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เราเห็นมุมมองที่หลากหลาย และสร้างไอเดียที่แปลกใหม่แต่ใช้งานได้จริง สิ่งสำคัญคือการไม่ตัดสินไอเดียเร็วเกินไป และเปิดใจรับไอเดียที่ดูแปลกๆ ก่อน เพราะบางครั้งไอเดียที่ดีที่สุดมักจะซ่อนอยู่ในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ครับ
.
การฝึกฝน Ideate อย่างสม่ำเสมอจะทำให้เรากลายเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น และสามารถมองเห็นโอกาสในสิ่งที่คนอื่นมองข้าม ทักษะนี้ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในการทำธุรกิจ แต่ยังช่วยให้เราแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่มีคุณค่าให้กับตัวเองและสังคมได้อย่างแท้จริงครับ
.
ลองนำไปใช้ดูนะครับ
ด้วยรัก
อ.เก้