Knowledge Sharing ชุมชนแห่งการเรียนรู้...
โลกที่ไม่เหมือนเดิม 49

คำสำคัญ : Change
ความเป็นหนึ่งเดียว (Oneness) กับ ความเป็นองค์รวม (Wholeness) ภาวะรู้แจ้งของสิ่งที่เป็นอยู่ (Thusness) กับ ความเป็นเช่นนั้นเอง (Suchness)
“เอนโทรปี” (Entropy) กับ “เอนโทรปีเชิงลบ” (Negentropy) เป็นแนวคิดคู่ตรงข้ามในบริบทของพลังงาน ระบบ และความเป็นระเบียบ
• Entropy เป็นการวัดระดับความไม่เป็นระเบียบ (Disorder) หรือการสุ่ม (Randomness) ในระบบตามกฎเทอร์โมไดนามิกส์ ข้อที่สอง เอนโทรปีของระบบปิดมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น กล่าวคือ ระบบจะเอนเอียงไปสู่ความไม่เป็นระเบียบมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ตัวอย่างเช่น น้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำ หรือห้องที่ไม่ได้จัดระเบียบจะยุ่งเหยิงมากขึ้นเรื่อย ๆ
• Negentropy เป็นกระบวนการเพิ่มความเป็นระเบียบในระบบ เป็นกระบวนการที่ทำให้ระบบลดความวุ่นวาย หรือมีการจัดวางโครงสร้างที่ชัดเจนขึ้น ตัวอย่างเช่น การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตที่ต้องใช้พลังงานภายนอก (เช่น แสงแดด อาหาร) เพื่อรักษาระเบียบในร่างกาย นี่เป็นการนำ Negentropy เข้าสู่ระบบ
นั่นคือ หาก Entropy เพิ่ม ระบบเสื่อมลง เป็นไปตามธรรมชาติ (เช่น สิ่งของพังทลาย ความร้อนแผ่กระจาย) ในทางตรงข้าม หาก Negentropy เพิ่ม ระบบใช้พลังงานเพื่อคงความเป็นระเบียบ (เช่น สิ่งมีชีวิต คอมพิวเตอร์ประมวลผล การจัดการองค์กร)
ในเชิงปรัชญาและ System Science, Entropy จะสะท้อน “ภาวะการแปรเปลี่ยน” (Becoming) ขณะที่ Negentropy จะสะท้อน “ภาวะการดำรงอยู่” (Being)
• Becoming เป็นการแปรเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง การเลื่อนไหล การแตกสลาย หรือการเปลี่ยนสถานะ ส่วน Entropy สะท้อนกระบวนการที่ระบบดำเนินไปสู่ความไม่เป็นระเบียบ → การกลายเป็นสิ่งอื่น → การเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น การเสื่อมของโครงสร้างทางสังคม ความชราภาพของร่างกาย การเปลี่ยนสัณฐานของวัตถุ
• Being เป็นภาวะของการดำรงอยู่ การคงอยู่ของโครงสร้าง หรือเอกลักษณ์ ส่วน Negentropy คือ พลังที่ต้านทานการเสื่อม → สร้างระเบียบ → คงรูปแบบ → รักษาสิ่งที่เป็นอยู่ ตัวอย่างเช่น ระบบชีวภาพที่คงโครงสร้างตัวเองไว้ผ่านกลไก Metabolism องค์กรที่มีวัฒนธรรมแข็งแรง ต้านทานความท้าทายจากภายนอก
ความสัมพันธ์ระหว่าง Entropy กับ Negentropy อาจตีความได้เหมือน Dialectic ระหว่าง Becoming กับ Being - ไม่มีสิ่งใดอยู่โดดๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นคือ ระบบที่มีชีวิต (หรือระบบที่มีความซับซ้อน) ต้องมีความสามารถในการจัดการสองแรงนี้อย่างสมดุล กล่าวคือ ถ้ามีแต่ Being ระบบจะแข็งทื่อ ไม่ปรับตัว ถ้ามีแต่ Becoming ระบบจะไม่เสถียร และค่อยๆเสื่อมสลายไป
“อนัตตา” (Anattā) สัมพันธ์กับ Becoming และ Entropy ขณะที่ “อัตตา” (Attā) สัมพันธ์กับ Being และ Negentropy
Anattā เป็นหลักธรรมที่ว่า ทุกสิ่งไม่มีตัวตนถาวร ไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่ควรยึดมั่น ดังนั้น Anattā เป็นการยอมรับการเปลี่ยนแปลง อันเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง (Becoming) — ไม่มีอะไรดำรงอยู่ตลอดไป ซึ่งสอดรับกับแนวคิด Entropy ในแง่ที่ว่า ทุกระบบ (ร่างกาย, ความคิด, สังคม) มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลง ล่มสลาย เสื่อมถอย ไม่มี “ตัวตนคงที่” ให้ยึดเกาะได้จริง
ส่วน Attā นั้น เป็นตัวตนที่คนมักยึดว่า “นี่คือตัวกู ของกู” เป็นโครงสร้างทางความคิดที่พยายามกำหนด รักษา ดึงดันอัตลักษณ์ให้คงอยู่ จึงสอดคล้องกับแนวคิด Negentropy ใน System Science ที่ตัวระบบพยายามรักษาทรง คงรูป ด้วยการควบคุมภายในสร้างกลไกควบคุมภายใน เพื่อป้องกันการเสื่อมสลาย สร้างความมี “ตัวตน” ที่ต้านทาน Chaos จากภายนอก

ในทางพุทธศาสนา มองว่าการสร้าง Attā เป็นการปรุงแต่ง อันเป็นผลของตัณหา และย่อมนำไปสู่ทุกข์
สิ่งที่เป็นข้อพึงระวัง คือ ในพุทธศาสนา Attā เป็นสิ่งควรปล่อยวาง แม้มันจะสร้างระเบียบชั่วคราว (Negentropy) โดยธรรมชาตินั้น พลังของ Negentropy ไม่สามารถบอกได้ว่าดีหรือไม่ดี แต่มันเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพียงแต่ว่าหากเรายึดมากไป ก็ย่อมเกิดทุกข์ ส่วน Anattā นั้น เป็นคนละเรื่องกับ Chaos, Anattā คือความเข้าใจว่าไม่มีสิ่งใดควรยึดถือว่าเป็นตัวเราจริง ๆ
Anattā เชื่อมกับ “การข้ามพ้นตนเอง” (Self-Transcendence) ขณะที่ Attā เชื่อมกับ “ความเห็นแก่ตัว” (Selfishness)
• Anattā คือความเข้าใจว่า “ตัวตน” เป็นสิ่งปรุงแต่ง ไม่ใช่แก่นแท้ ไม่มีตัวตนถาวรให้ยึด นำไปสู่การปล่อยวาง และเปิดทางให้เข้าถึงสิ่งที่กว้างกว่า สิ่งที่ใหญ่กว่า “ตัวกู” อาทิ
- ความร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้อื่น
- การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ จักรวาล หรือ ธรรมะ
- ความว่างที่ไม่ใช่ความสูญเปล่า แต่คือพื้นที่สำหรับการเปิดรับและการเชื่อมโยง
Anattā จึงสอดรับกับแนวคิด “Self-Transcendence” ซึ่งเป็นการเติบโตทางจิตวิญญาณขั้นสูงสุด เมื่อบุคคลหลุดจากการยึด “ตัวตน” แล้วก้าวล้ำไปในปริมณฑลที่ “ใหญ่กว่า” ที่ “เหนือกว่า”
• Attā คือความรู้สึกว่า นี่คือตัวฉัน ฉันต้องอยู่รอด ฉันต้องสำคัญ ฉันต้องมีอำนาจควบคุม จึงนำไปสู่
- ความกลัวในการต้องสูญเสียอัตลักษณ์
- การยึดถือผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง
- ความหลงผิดว่าสิ่งอื่นเป็น “ของฉัน”
ความยึดมั่นใน Attā จึงเป็นรากเหง้าของความโลภ โทสะ และโมหะ ซึ่งนำไปสู่ความทุกข์ และการเบียดเบียนผู้อื่น
ในมุมมองเชิงระบบ Attā จึงเป็นความพยายามที่จะคง “โครงสร้างเฉพาะตัว” ไว้ (คล้าย Negentropy) ดังนั้น Attā จึงกำหนดขอบเขต → เกิดความกลัว → สร้างความเห็นแก่ตัว
ในขณะที่ Anattā เป็นการสลายโครงสร้างเพื่อก้าวสู่ระบบเปิด ที่ทำให้เราได้เรียนรู้และเชื่อมโยงกับสรรพสิ่งอื่นๆ (คล้าย Self-Organization ที่มีความยืดหยุ่นสูง) ดังนั้น Anattā จึงทำลายขอบเขต → ก่อเกิดความเข้าใจร่วม → นำไปสู่การข้ามพ้นตัวตน
ด้วยเหตุนี้ Self-Transcendence จึงไม่ได้แปลว่า “สูญเสีย” แต่เป็นการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล โดยไม่มีตัวตนเป็นศูนย์กลาง
Anattā, Self-Transcendence และ “นิพพาน” (Nirvāṇa) ทั้งสามแนวคิดนี้สัมพันธ์กันในเชิง “การปลดปล่อยจากตัวตน” และ “การหลุดพ้นจากการปรุงแต่ง“ ทั้งปวง
• Anattā คือความเข้าใจว่าไม่มีตัวตนถาวร ในแก่นของพุทธศาสนานั้น ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่า “ตัวกูของกู” อย่างแท้จริง เมื่อเข้าใจ Anattā อย่างลึกซึ้ง จะเริ่มคลายความยึดมั่น ปล่อยวาง และนำไปสู่ความสงบที่แท้
• Self-Transcendence เป็นการข้ามพ้นตัวตนที่ไม่ใช่การลบล้างตัวตนแบบ Nihilism แต่เป็นการก้าวข้ามกรอบอัตตา เปิดไปสู่ภาวะที่เชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง เมื่ออัตตาจางลง การยึดมั่นถือมั่นก็คลายลง ความทุกข์ก็ลดลง ก็ยิ่งใกล้นิพพานมากขึ้น
• Nirvāṇa เป็นการดับลงของตัณหา อุปาทาน อวิชชา เป็นภาวะการสิ้นสุดของกระบวนการปรุงแต่ง เมื่อปัญญาเห็นอนัตตา → เกิดการปลดปล่อยอัตตา → ข้ามพ้นตนเอง → ดับทุกข์ → เข้าสู่นิพพาน
ในทางกลับกัน Attā, Selfishness และ “วัฏฏสงสาร” (Saṃsāra) ทั้งสามสิ่งนี้เชื่อมโยงกัน ผ่านวงจร ”การเวียนว่ายตายเกิด” ที่ขับเคลื่อนด้วยอวิชชาและตัณหา
• Attā คือการยึดมั่นในตัวตน นี่คือตัวฉัน ฉันต้องได้ ฉันต้องอยู่รอด ก่อให้เกิดตัณหาและอุปาทาน
• Selfishness เป็นพฤติกรรมที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง เมื่อมีอัตตา ย่อมนำไปสู่ความโลภ ความกลัว ความหวงแหน Selfishness จึงเป็นการดำเนินชีวิต เพื่อหล่อเลี้ยงอัตตา ส่งผลให้เกิดการกระทำที่ผูกพันกรรม
• Saṃsāra เป็นวงจรการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้จบ กล่าวคือ อวิชชา → ยึดอัตตา → ความเห็นแก่ตัว → การสร้างกรรม → วัฏฏสงสารหมุนต่อ
ข้อคิดที่สำคัญคือ การเข้าใจ Anattā ไม่ใช่การ “ล้มล้างตัวเอง” แต่เป็นความเข้าใจความจริงของสิ่งที่เราเคยหลงยึดว่าเป็นตัวเรา และ การหลุดพ้นไม่ใช่การหนีโลก แต่เป็นการอยู่กับโลกโดยไม่ติดยึดโลก
~การประยุกต์ใช้ Oneness & Wholeness, Thusness & Suchness
การสร้าง “สังคมแบบหลุดพ้น” (Liberated Society หรือ Post-Egoic Society)
เป็นการออกแบบระบบมนุษย์ สังคม และวัฒนธรรม ที่ไม่ตั้งอยู่บนการยึดติดในตัวตน ความโลภ การแย่งชิง หรือความกลัวสูญเสีย อันเป็นรากของทุกข์ทั้งปวง
ตัวอย่างสังคมแบบหลุดพ้นใน 5 มิติหลัก
1. การศึกษา: ระบบเรียนรู้ที่มุ่งสลายอัตตา ไม่ใช่ส่งเสริมอัตตา
• สร้างระบบการศึกษาที่ไม่เน้นแข่งขันเพื่อสร้าง “ตัวตนเก่งกว่า” แต่ฝึกการสังเกตตน การรู้เท่าทันความคิด อารมณ์ และความปรุงแต่ง
• ใช้การเรียนรู้แบบ Self-Inquiry, Mindfulness, และ Dialogue-Based Learning เพื่อฝึกฝนการปล่อยวาง “ตัวฉันต้องเป็นโน้น ต้องเป็นนี้”
ตัวอย่างเช่น
- โรงเรียนปัญญาประทีป (ไทย): สอนเด็กด้วยวิธีการที่เน้นการรู้จักตัวเองแบบไม่เปรียบเทียบ
- Contemplative Education (Naropa University, สหรัฐฯ): รวมสมาธิ-พุทธวิชาเข้ากับการศึกษาทางโลก
2. เศรษฐกิจ: เศรษฐกิจแบบเกื้อกูลและแบ่งปัน ไม่ใช่ แข่งขันและสะสม
• เปลี่ยนเป้าหมายของระบบเศรษฐกิจจาก การเติบโตที่ไม่รู้จบ (ซึ่งเกิดจากอัตตากลัวการขาดแคลน) ไปสู่ระบบที่เน้นความพอเพียง ความพอดี ความพอประมาณ การเกื้อกูล และแบ่งปัน
• ส่งเสริมหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของ การรู้จักเติม รู้จักพอ และรู้จักปัน
• ส่งเสริม Gift Economy, Sharing Economy และระบบสกุลเงินทางเลือก ที่เน้นการหมุนเวียนมากกว่าการสะสม
ตัวอย่างเช่น
- Sarana Eco-village (อินเดีย): ใช้ระบบเศรษฐกิจภายในที่ให้กันโดยสมัครใจ
- Timebank (ญี่ปุ่นและยุโรป): แลกเปลี่ยนเวลาทำงานแทนเงิน โดยไม่มีมูลค่าทุนแอบแฝง
3. การเมือง: ระบบอำนาจที่ “ไร้ตัวตน” และ “ไร้ผู้นำ”
• ลดรูปแบบ “ผู้นำที่มีอัตตา” หันไปเน้นการจัดการตนเองแบบรวมหมู่ (Collective Governance) และ การตัดสินใจเชิงฉันทามติ
• ฝึกผู้นำให้รู้จัก “การยืนอยู่ในความว่าง” ไม่ใช่ยืนบนอำนาจหรืออัตลักษณ์
ตัวอย่างเช่น
- Sociocracy / Holacracy (ยุโรปและอเมริกา): ระบบจัดการองค์กรแบบกระจายอำนาจ โดยไม่มีผู้นำถาวร
- Zapatistas (เม็กซิโก): กลุ่มการเมืองชนพื้นเมืองที่ใช้ฉันทามติแบบไม่ยึดตัวบุคคล
4. วัฒนธรรม: ศิลปะ ความงาม และความหมายที่ไร้ตัวตน
• ส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมที่ไม่ยึด “ชื่อเสียง” หรือ “แบรนด์” แต่เป็นการแสดงความจริงจากความว่างให้ประจักษ์
• สนับสนุนงานสร้างสรรค์ร่วม มากกว่าการยกย่อง “ศิลปินอัจฉริยะคนเดียว”
ตัวอย่างเช่น
- ศิลปะเซน (Zen Art): ไม่เซ็นชื่อผลงาน เพื่อสลายอัตตา
- Open-Source Culture: เช่น Wikipedia ซอฟต์แวร์อย่าง Linux หรือ ปัญญาประดิษฐ์อย่าง Deepseek— คือวัฒนธรรมของการให้โดยไม่มีใครเป็นเจ้าของ
5. จิตวิญญาณ: การฝึกปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่การยึดถือศาสนา
• ทำให้การเจริญสติ สมาธิ และการเห็นอนัตตาเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน
• สร้างพื้นที่เงียบสงบ จัดเวลาสำหรับการ “หยุดปรุงแต่ง” ในบ้าน ที่ทำงาน โรงเรียน และชุมชน
ตัวอย่างเช่น
- Plum Village (หมู่บ้านปลงวาง) ของท่านติช นัท ฮันห์: สร้างวัฒนธรรมแห่งความเงียบและท่วงท่าที่ช้าลงในท่ามกลางโลกที่เร่งรีบ
- Google – Mindfulness at Work (Search Inside Yourself): สอนพนักงานฝึกสติแบบไม่ผูกติดกับศาสนา
สรุป:
• Oneness – ความเป็นหนึ่งเดียว: เป็นภาวะที่ไม่มีความแบ่งแยก ไม่มีตัวตนที่แยกต่างหาก ทุกสิ่งหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
• Wholeness – ความเป็นองค์รวม: การรับรู้สรรพสิ่งอย่างครบถ้วน มองเห็นความเชื่อมโยงสัมพันธ์ของทุกองค์ประกอบ แบบไม่แยกส่วน
• Thusness – ภาวะรู้แจ้งของสิ่งที่เป็นอยู่:
สภาวะที่รู้สิ่งทั้งหลายโดยตรง ขณะที่มันเป็นอยู่ เป็นความรู้แจ้งที่ไม่ผ่านการวิเคราะห์หรือความคิดปรุงแต่ง
• Suchness – ความเป็นเช่นนั้นเอง:
การเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น ไม่ผ่านกรอบคิดหรืออัตตา เป็นประสบการณ์ตรงของ “สิ่ง” นั้น
Oneness และ Wholeness, Thusness และ Suchness จะทำให้พวกเราเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง:
• SOUL (จิตวิญญาณจักรวาล) กับ Soul (จิตวิญญาณมนุษย์)
• SELF (การก้าวพ้นตัว) กับ Self (ความเห็นแก่ตัว)
• NOW (อยู่กับปัจจุบันขณะ) กับ Now (ต้องได้เดี๋ยวนั้นเดี๋ยวนี้)
เครดิต : ท่านสุวิทย์ เมฆอษทรีย์
เขียนโดย : นายเอกพงศ์ มุสิกะเจริญ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : ekapong@mhesi.go.th